Geo Location Meta Tag คืออะไร?

🔹 การใช้งาน Geo Location Meta Tag สำหรับทำ SEO

📌 Geo Location Meta Tag คืออะไร?

Geo Location Meta Tag เป็นแท็กที่ใช้กำหนดพิกัดทางภูมิศาสตร์ของเว็บไซต์ เช่น ประเทศ เมือง และพิกัดละติจูด/ลองจิจูด เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคหรือประเทศใด

📌 มีผลต่อ SEO อย่างไร?

ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับผู้ใช้ในภูมิภาคใด
เพิ่มโอกาสในการจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาแบบ Local SEO
ช่วยให้ธุรกิจที่มีหน้าร้าน (Physical Store) ได้รับการค้นพบง่ายขึ้น
เพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Google Maps และ Google My Business


🔹 วิธีใช้งาน Geo Location Meta Tag

1. ใช้ Meta Tags เพื่อกำหนดตำแหน่ง

คุณสามารถใส่ Meta Tags ใน <head> ของหน้า HTML:

html
<meta name=”geo.region” content=”TH-BK”> <meta name=”geo.placename” content=”Bangkok”> <meta name=”geo.position” content=”13.7563;100.5018″> <meta name=”ICBM” content=”13.7563, 100.5018″>

 

📌 รายละเอียดของ Meta Tags เหล่านี้:

  • geo.region → กำหนดรหัสประเทศและภูมิภาค เช่น TH-BK (ประเทศไทย-กรุงเทพฯ)
  • geo.placename → กำหนดชื่อเมือง เช่น Bangkok
  • geo.position → กำหนดละติจูดและลองจิจูด เช่น 13.7563;100.5018
  • ICBM → เป็นค่าเดียวกับ geo.position ใช้สำหรับบาง Search Engine

2. ใช้ hreflang เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจภาษาและภูมิภาค

หากเว็บไซต์ของคุณรองรับหลายประเทศ ควรใช้ hreflang เพื่อช่วยให้ Google แสดงผลที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ

📌 ตัวอย่างเว็บไซต์ที่รองรับหลายประเทศ

html
<link rel=”alternate” hreflang=”th-TH” href=”https://example.com/th/” /> <link rel=”alternate” hreflang=”en-US” href=”https://example.com/en/” /> <link rel=”alternate” hreflang=”ja-JP” href=”https://example.com/ja/” />

 

ช่วยให้ Google จัดอันดับเว็บไซต์ให้ตรงกับผู้ใช้ในแต่ละประเทศ


3. ใช้ Schema Markup (Structured Data) สำหรับระบุตำแหน่งธุรกิจ

Google แนะนำให้ใช้ Schema Markup แทน Geo Meta Tag เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่า

📌 ตัวอย่าง Local Business Schema Markup

html
<script type=”application/ld+json”> { “@context”: “https://schema.org”, “@type”: “LocalBusiness”, “name”: “ร้านค้าออนไลน์ของฉัน”, “address”: { “@type”: “PostalAddress”, “streetAddress”: “123 ถนนสุขุมวิท”, “addressLocality”: “กรุงเทพฯ”, “addressRegion”: “TH”, “postalCode”: “10110”, “addressCountry”: “TH” }, “geo”: { “@type”: “GeoCoordinates”, “latitude”: “13.7563”, “longitude”: “100.5018” }, “url”: “https://example.com”, “telephone”: “+66 2 123 4567” } </script>

 

ช่วยให้ Google แสดงผลธุรกิจของคุณใน Google Search และ Google Maps ได้ดีขึ้น


🔹 Best Practices สำหรับ SEO

🚀 ใช้ Schema Markup แทน Meta Tag → Google แนะนำให้ใช้ JSON-LD สำหรับ SEO ที่ดีขึ้น
🚀 ใช้ hreflang ควบคู่ไปกับ Geo Tags → เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์มุ่งเน้นไปที่ประเทศไหน
🚀 ใช้ Google My Business → หากเป็นธุรกิจที่มีหน้าร้าน ควรลงทะเบียนใน Google My Business เพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Google Maps
🚀 เช็คพิกัดที่ถูกต้อง → ใช้เครื่องมือเช่น Google Maps เพื่อหาพิกัดละติจูด/ลองจิจูดที่แม่นยำ


🔹 สรุป

Geo Location Meta Tag ช่วยให้ Search Engine เข้าใจว่าคุณโฟกัสที่ประเทศไหน
Google แนะนำให้ใช้ Schema Markup มากกว่าการใช้ Meta Tags
ควรใช้ hreflang สำหรับเว็บไซต์ที่รองรับหลายภาษา
การตั้งค่า Local SEO ที่ถูกต้องช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดียิ่งขึ้นในพื้นที่เป้าหมาย

📌 หากคุณต้องการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาของ Google สำหรับพื้นที่เฉพาะ การใช้ Geo Meta Tag ร่วมกับ Schema Markup และ Google My Business คือแนวทางที่ดีที่สุด 🌍

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *